สรุปบทความ เรื่อง การพัฒนาตนเองแบบขี้เกียจๆ
เรื่อง การพัฒนาตนเองแบบขี้เกียจๆ
ที่มา:https://sirichaiwatt.com/
มีหลายคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาตนเอง ต้องเคยคิดหรือรู้สึกว่าเจ้าความขี้เกียจของเรานี่มันช่างเป็นตัวขัดขวางให้เราไม่พัฒนาเสียจริงๆ ทั้งที่มีความตั้งใจเริ่มต้นไว้ดิบดีแล้วก็ตาม.. เขาถึงได้บอกว่าการพัฒนาตนเองนั้นเราต้องมีเป้าหมาย มีแรงจูงใจ แรงบันดาลใจ เพราะเมื่อใดเกิดขี้เกียจขึ้นมา ท้อขึ้นมา ก็จะได้แรงเหล่านี้เป็นตัวผลักให้หลุดจากความท้อ ความขี้เกียจไปได้
ซึ่งปัญหามันก็มีต่อว่า แม้ได้รับแรงผลักที่ดี บางทีผ่านไปไม่นาน มันก็ยังขี้เกียจอยู่ดี.. อาจด้วยเพราะเจออุปสรรค หมดแรงจูงใจก็ตาม คงไม่จำเป็นต้องไปหาสาเหตุที่คนเราขี้เกียจ เพราะไม่ว่าจะจากเหตุไหนอย่างไรมันก็คงไม่ดี โดยอย่างยิ่งกับหลายสิ่งที่เราต้องการผลลัพธ์เป็นความสำเร็จ มันคงไม่สำเร็จได้โดยง่ายบนภาวะเช่นนี้
สำหรับดิฉันแล้วมีแนวคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า อะไรที่เรารู้ว่ามันไม่ดี แต่เอาชนะมันไม่ได้ ตัดมันไม่ได้ เราก็ต้องปรับหรือเปลี่ยนเพื่ออยู่กับมันให้ดีให้ได้ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอไม่มีอะไรเลวร้ายไปเสียหมด ความขี้เกียจก็เช่นกัน และมันต้องเริ่มจากการ “เปลี่ยนทัศนคติ” เปลี่ยนความคิด ไปในด้านที่ควรจะเป็น เหมือนเช่น ความขี้เกียจที่มันก็มีดีของมันอยู่ ดังแง่คิดต่อไปนี้
"ก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้"
แต่ก็ต้องเตือนกันไว้ก่อนว่า บางเรื่อง บางอย่างมันไม่มีวิธีลัด กลายเป็นว่ามัวแต่หาวิธีทั้งๆ ที่ทำๆ มันไปเลยคงจบไปแล้ว ตรงนี้ก็ต้องดูด้วยว่าบางเรื่องมันขี้เกียจหรือขยัน(หาวิธี) แบบผิดๆ กันแน่ รวมถึงต้องเตือนกันในความคิดบางอย่างที่อยากจะลัดมากไปจนกลายเป็นสิ้นคิดในบางแง่มุมยกตัวอย่างสุดง่าย ก็คือ ขี้เกียจทำงาน เลยไปปล้นธนาคาร นี่คือวิธีลัด ขี้เกียจไม่ว่าแต่อย่าโง่ไปด้วยเลย
ความขี้เกียจถาม ขี้เกียจร้องขอนี้มีข้อเสียอีกเหมือนกัน คือ เสียเวลา ต้องเจียดเวลาเพื่อรู้เอง เพื่อลองเอง บางทีถามถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา ง่ายกว่าจริงๆ ดังนี้ดูดีๆ ว่ามีใครพอพึ่งพาได้ไหม และอย่างไรก็ตามเราต้องหมั่นศึกษาในเรื่องที่ตนเองต้องรู้แต่ยังไม่รู้เพื่อที่จะไม่ให้ใครมาเสียเวลชีวิตเพราะเรา และเราก็จะได้ไม่เสียเวลาชีวิตของตนเองอีกด้วย
หากเราขี้เกียจเสียเวลา เราลองคิดดูดีๆว่าถ้าเราทำแค่ครั้งเดียวแล้วมันดีทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์เราก็จะไม่ต้องเสียเวลามาแก้อีก เพราะเราก็รู้ดีว่าเราทำเต็มที่หรือยัง หากเราแค่คิดว่าทำส่งๆ ไม่มีใครรู้หรอก เราก็จะต้องมาเสียเวลากับมันอีกในอนาคต
การเป็นคนขี้เกียจพูด/อธิบาย แล้วลงมือทำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทำแทนใคร ทำเรื่องของใคร เพราะบางครั้งเราไปพูด ไปบ่น ไปอธิบายเร่ืองของคนอื่นที่เราคิดว่า “ห่วง และ หวังดี” ก็ไม่ผิดหรอก แต่ถ้า “ขยัน พูด อธิบาย สิ่งเหล่านั้น” คุณว่า ได้อะไร?.. นั่นแหละเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ อย่าไปขยันอะไรสิ่งนี้เลย
ดิฉันไม่เชื่อว่ามันคือความเป็นจริง เพราะแท้แล้ว ความขยัน กับความขี้เกียจนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใครชี้วัด คนขยันนั่ง กับคนขยันยืน ก็ขยันเหมือนกัน คนขยันนั่ง ก็บอกว่าขี้เกียจยืน คนขยันยืนก็บอกว่า ขี้เกียจนั่ง มนุษย์นั้นหากหัวใจยังเต้นแล้ว ย่อมต้องสูบฉีดให้ร่างกาย สมองดำเนินไป ในทิศทางที่คนๆ นั้นต้องการ เพียงแต่ว่า เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมันจึงไม่อยากกระทำ และ การที่เราขี้เกียจ แค่เพราะทำสิ่งไม่ชอบ หรือมันยังไม่ใช่ ความขี้เกียจมีข้อดีดังที่ยกตัวอย่างไป
"หากใจยังไหวคำว่าขี้เกียจ ก็เปลี่ยนเป็นการพัฒนาตนเองได้เช่นกัน"
ซึ่งปัญหามันก็มีต่อว่า แม้ได้รับแรงผลักที่ดี บางทีผ่านไปไม่นาน มันก็ยังขี้เกียจอยู่ดี.. อาจด้วยเพราะเจออุปสรรค หมดแรงจูงใจก็ตาม คงไม่จำเป็นต้องไปหาสาเหตุที่คนเราขี้เกียจ เพราะไม่ว่าจะจากเหตุไหนอย่างไรมันก็คงไม่ดี โดยอย่างยิ่งกับหลายสิ่งที่เราต้องการผลลัพธ์เป็นความสำเร็จ มันคงไม่สำเร็จได้โดยง่ายบนภาวะเช่นนี้
สำหรับดิฉันแล้วมีแนวคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า อะไรที่เรารู้ว่ามันไม่ดี แต่เอาชนะมันไม่ได้ ตัดมันไม่ได้ เราก็ต้องปรับหรือเปลี่ยนเพื่ออยู่กับมันให้ดีให้ได้ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอไม่มีอะไรเลวร้ายไปเสียหมด ความขี้เกียจก็เช่นกัน และมันต้องเริ่มจากการ “เปลี่ยนทัศนคติ” เปลี่ยนความคิด ไปในด้านที่ควรจะเป็น เหมือนเช่น ความขี้เกียจที่มันก็มีดีของมันอยู่ ดังแง่คิดต่อไปนี้
"ก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้"
ขี้เกียจจึงหาทางลัด
นี่เป็นจุดแข็งของความขี้เกียจเลยทีเดียวดิฉันเป็นคนหนึ่งที่บ่อยครั้งขี้เกียจทำอะไรๆ ในแบบที่ เขาว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งบางทีมันมีกระบวนการที่ไม่จำเป็นเอาเสียเลย จนมันจึงกลายเป็นเรื่องที่ยาก (เพราะหลายขั้นตอน) ไปเลยก็มี จึงชอบที่จะหาทางลัดและทำมันให้สำเร็จโดยเร็ว หรือไม่เช่นนั้นก็หาวิธีช่วย หรือ เครื่องมือช่วยทำให้ขั้นตอนต่างๆ เร็วขึ้น ง่ายขึ้น อะไรก็ตาม และดิฉันเชื่อว่า หลายๆ นวัตกรรมก็เกิดจากความขี้เกียจคล้ายกันแบบนี้แหละ จะว่าไปแล้ว บางทีก็เพราะขี้เกียจเดิน เราจึงมีรถใช้กัน ทุกวันบนโลกนี้ก็เป็นได้ (จริงๆ น่าจะอยากไปเร็วขึ้น ขี้เกียจเสียเวลามากกว่า.. แต่ก็ขี้เกียจอีกนั่นแหละ)แต่ก็ต้องเตือนกันไว้ก่อนว่า บางเรื่อง บางอย่างมันไม่มีวิธีลัด กลายเป็นว่ามัวแต่หาวิธีทั้งๆ ที่ทำๆ มันไปเลยคงจบไปแล้ว ตรงนี้ก็ต้องดูด้วยว่าบางเรื่องมันขี้เกียจหรือขยัน(หาวิธี) แบบผิดๆ กันแน่ รวมถึงต้องเตือนกันในความคิดบางอย่างที่อยากจะลัดมากไปจนกลายเป็นสิ้นคิดในบางแง่มุมยกตัวอย่างสุดง่าย ก็คือ ขี้เกียจทำงาน เลยไปปล้นธนาคาร นี่คือวิธีลัด ขี้เกียจไม่ว่าแต่อย่าโง่ไปด้วยเลย
ขี้เกียจถาม/ขอร้อง
ก่อนที่คนเราจะลงมือทำอะไรสักอย่างก็ต้องได้รับองค์ความรู้มาเสียก่อน และแน่นอนว่าการทำงานหรือทำอะไรสักอย่างก็ต้องมีปัญหา บางคนอาจจะใช้วิธีถามคนอื่นเพื่อที่จะให้ได้คำตอบเพราะมันเป็นวิธีที่งานและรวดเร็ว แต่สำหรับตัวของดิฉันเองมีประสบการณ์ที่เคยถามคนอื่นและได้คำตอบที่ไม่ดีพอไม่สามารถนำมาใช้ได้ ก็อาจจะเป็นสิ่งทีทำให้ ดิฉันขี้เกียจถาม ขี้เกียจขอร้องและหันมาใช้วิธีปฏิบัติหรือลองทำลองหาคำตอบด้วยตัวเอง แต่หากเรื่องไหนที่เราไม่ทราบจริงๆก็สามารถถามได้ แต่ไม่ใช่ขี้เกียจเรียนรู้ แต่ขยันถามแล้วถามอีกไม่มีเบื่อความขี้เกียจถาม ขี้เกียจร้องขอนี้มีข้อเสียอีกเหมือนกัน คือ เสียเวลา ต้องเจียดเวลาเพื่อรู้เอง เพื่อลองเอง บางทีถามถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา ง่ายกว่าจริงๆ ดังนี้ดูดีๆ ว่ามีใครพอพึ่งพาได้ไหม และอย่างไรก็ตามเราต้องหมั่นศึกษาในเรื่องที่ตนเองต้องรู้แต่ยังไม่รู้เพื่อที่จะไม่ให้ใครมาเสียเวลชีวิตเพราะเรา และเราก็จะได้ไม่เสียเวลาชีวิตของตนเองอีกด้วย
ขี้เกียจเสียเวลา
เรื่องของเวลา แม้จริงๆ มันจะมีมาตรฐาน เท่ากันแต่ละวันกันทุกคน แต่เราก็กลับรู้สึกไม่เท่ากัน และใช้มันได้อะไรกลับมาไม่เท่ากัน หลายคนได้ประโยชน์ พัฒนา หลายคนไม่ได้ประโยชน์ การที่เราขี้เกียจทำอะไรสักอย่างหากมันเป็นสิ่งไม่จำเป็น ก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าไม่ย่อมมีผลตามมา บางเรื่องที่เรามองว่าไม่อยากทำตอนนี้ รู้สึกไม่อยากเสียเวลาทำมัน แต่ก็ต้องทำในวันหน้าอยู่ดี แบบนี้แสดงว่าเรากำลังผลัดวันประกันพรุ่ง มองให้ดีๆ แทนที่เราจะได้มีเวลาเหลือในอนาคต ก็กลายมาเสียเวลาทำสิ่งนี้อีก และด้วยเงื่อนเวลามันกลายเป็นว่า ทำภายหลังลำบากกว่า ยากกว่า หรือทำไม่ได้แล้วก็มี.. เช่น ไม่มีคนช่วย หากเป็นเช่นนั้นคิดเอาง่ายๆ แค่ว่า บางเรื่องทำๆ ไปตอนนี้ดีกว่ายากภายหลัง เหมือนบอกตัวเองว่า “อย่าต้องเสียเวลากับเรื่องนี้อีก” นั่นก็คือ ทำให้มันจบๆ ไปซะขี้เกียจทำซ้ำซาก
นึกกันดูสักหน่อย เราก็จะเจอว่าหลายอย่าง อาจเป็นงานหรือเรื่องในชิวิตประจำวัน ที่เรารู้สึกว่าขี้เกียจและไม่เปลี่ยนแปลงโดยที่มันอาจเป็นเรื่องที่ต้องทำ และทำซ้ำๆไปเช่นนั้น บ้างก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอยู่เช่นนั้น เหมือนคำคมที่เขาว่า “ทำอะไรเดิมๆ ก็ได้ผลลัพธ์เดิมๆ” ในมุมหนึ่งนึ่สะท้อนการพัฒนาบางอย่างของชีวิตชัดเจน และควรจะคิดได้ว่าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ต้องแก้ไขเรื่องเดิมๆ ล่ะ ทำให้ผมมองว่า มีหลายอย่างที่คนเราคิดว่าขี้เกียจ เลยไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงขยันนะ ที่ทำไปแบบนั้น เพราะมันต้องทำซ้ำๆ ซากๆ หลายๆ รอบแก้ปัญหาแบบเดิมๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องคน เรื่องงาน หรือเรื่องอะไรก็ตามหากเราขี้เกียจเสียเวลา เราลองคิดดูดีๆว่าถ้าเราทำแค่ครั้งเดียวแล้วมันดีทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์เราก็จะไม่ต้องเสียเวลามาแก้อีก เพราะเราก็รู้ดีว่าเราทำเต็มที่หรือยัง หากเราแค่คิดว่าทำส่งๆ ไม่มีใครรู้หรอก เราก็จะต้องมาเสียเวลากับมันอีกในอนาคต
ขี้เกียจพูด/อธิบาย
การขี้เกียจพูด และขี้เกียจอธิบายนี้เป็นเรื่องดีจริงๆ คือลงมือทำไปเสีย (ไม่ต้องพูดอยู่) และไม่ต้องอธิบาย (ให้มันผ่านไป) เราจะมีเวลาไปคิด ไปทำเรื่องดีๆ อีกมากมาย ซึ่งในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่พูด วิจารณ์ ขยันอธิบาย วิเคราะห์ต่างๆ นาๆ ให้คนอื่นนั้น บางทีก็น่าสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีปัญญาทำด้วยตนเองหรือเปล่า หรืออยากให้เขาช่วย อยากสำคัญ จนบางทีก็งงว่า ต้องการอะไรกันแน่การเป็นคนขี้เกียจพูด/อธิบาย แล้วลงมือทำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทำแทนใคร ทำเรื่องของใคร เพราะบางครั้งเราไปพูด ไปบ่น ไปอธิบายเร่ืองของคนอื่นที่เราคิดว่า “ห่วง และ หวังดี” ก็ไม่ผิดหรอก แต่ถ้า “ขยัน พูด อธิบาย สิ่งเหล่านั้น” คุณว่า ได้อะไร?.. นั่นแหละเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ อย่าไปขยันอะไรสิ่งนี้เลย
ขี้เกียจก็คือขี้เกียจ!
มันไม่ใช่ว่าขี้เกียจแล้วจะพัฒนาตนเองได้ มันก็แค่เปลี่ยนมุมมองที่ อาจต้องทำบางอย่าง ก็ในเมื่อสำหรับคนขี้เกียจแล้ว “มันไม่อยากทำอะไรสักอย่าง”ดิฉันไม่เชื่อว่ามันคือความเป็นจริง เพราะแท้แล้ว ความขยัน กับความขี้เกียจนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใครชี้วัด คนขยันนั่ง กับคนขยันยืน ก็ขยันเหมือนกัน คนขยันนั่ง ก็บอกว่าขี้เกียจยืน คนขยันยืนก็บอกว่า ขี้เกียจนั่ง มนุษย์นั้นหากหัวใจยังเต้นแล้ว ย่อมต้องสูบฉีดให้ร่างกาย สมองดำเนินไป ในทิศทางที่คนๆ นั้นต้องการ เพียงแต่ว่า เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ต้องการมันจึงไม่อยากกระทำ และ การที่เราขี้เกียจ แค่เพราะทำสิ่งไม่ชอบ หรือมันยังไม่ใช่ ความขี้เกียจมีข้อดีดังที่ยกตัวอย่างไป
"หากใจยังไหวคำว่าขี้เกียจ ก็เปลี่ยนเป็นการพัฒนาตนเองได้เช่นกัน"
สรุปบทความโดย นางสาวจริญญา ทาริกานนท์ รหัสนิสิต601031413 กศ.บ.ภาษาไทย
วัน/เดือน/ปีที่อ่านและสรุป 02/09/61
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น